วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

12 Lotus

‘12 Lotus’ : Lotus Petals of Singapore

‘12 Lotus’ คือชื่อเพลง Getai1 ที่มีเนื้อร้องเป็นภาษาจีนฮกเกี้ยน (Hokkien) คำว่า ’Lotus’ (蓮花 หรือ Lian Hua) หมายถึงดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาสื่อถึงความบริสุทธิ์ และบทเพลง ’12 Lotus’ ได้นำดอกบัวบริสุทธิ์นี้มาถ่ายทอดช่วงชีวิต
ว่าไม่สวยงาม มันโหดร้ายและน่าสงสารสำหรับชีวิตที่เลือกไม่ได้นี้โดยแบ่งออกเป็นสิบสองช่วง ภาพยนตร์เรื่อง ‘12 Lotus’ ผ่านการกำกับของ Royston Tan ก็ได้นำเสนอดอกบัวในบทเพลงผ่านตัวละครที่ชื่อว่า Liu Lian Hua (แปลว่า ดอกบัว) ภาพยนตร์สัญชาติสิงคโปร์
เรื่องนี้สื่อสารผ่านดอกบัวสีชมพูที่ภายนอกดูงดงามนี้ด้วยเพลง Getai ’12 Lotus’ และตัวละคร Lian Hua ไว้อย่างแยบยล

เบื้องหน้าของภาพยนตร์ ’12 Lotus’ ที่เห็นผ่านจอเงินนั้นเป็นช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1980s จนถึงปัจจุบัน สภาพบ้านเมืองในสิงคโปร์เปลี่ยนแปลงและเจริญไปมาก กลีบดอกบัวเริ่มเปลี่ยนสีและคอยเวลาผลิให้เห็นเนื้อใน เพลง “12 Lotus’ ในโรงแสดง Getai จุดประกายให้ Lian Hua อยากร้องเพลง ‘12 Lotus’ นี้ให้กวนอิม2ที่เชื่อกันว่ามีเมตตาและจะช่วยให้ได้สมความปรารถนา เมื่อเธอโตขึ้น เธอได้เป็นนักร้อง Getai คืนหนึ่งเธอได้ร้องว่า ‘Life is great’ ซึ่งเป็นท่อนที่สองของ ‘12 Lotus’ เธอดีใจที่ชีวิตเธอเป็นเช่นนี้ได้ แต่หารู้ไม่ว่าชีวิต
เบื้องหน้าต่อจากนี้ของ Lian Hua กำลังเปลี่ยนไปอย่างโหดร้ายเป็นไปตามบทเพลง ‘12 Lotus’ ในท่อนต่อ ๆ ไป

Lian Hua เป็นตัวละครที่มีแง่มุมหลายชั้นเหมือนกลีบบัวที่สามารถสะท้อนความเป็นประเทศสิงคโปร์ได้ อย่างกลีบแรก
Lian Hua มีปมในใจจากการกำพร้าแม่ เธอมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ พ่อเลี้ยงดูปลูกฝังอย่างลูกคนจีนและใช้ภาษาจีนฮกเกี้ยนใน
การสื่อสาร พ่อสอนเธอว่า ‘Without pain, there’s no love. Without love, there’s no pain.’ กลีบนี้สะท้อนถึงวัฒนธรรมและสายเลือดของชาวสิงคโปร์ที่มีความเป็นจีนอยู่มาก สังเกตได้จากการมีประชากรชาวจีนว่า 3 ใน 4 ของประเทศสิงคโปร์ ‘พ่อตีเพราะพ่อรัก’ ทำให้กลีบถัดมา คือบุคลิกของ Lian Hua เธอเป็นคนระแวง หวาดกลัวและประหม่าง่าย สิ่งเหล่านี้เป็นปมในใจที่เธอสร้างขึ้นมา นอกจากนี้
เธอยังมีปมที่เกิดขึ้นจากสังคมและสิ่งที่เธอพบเจอ ความรุนแรงจากพ่อ จากชายที่เธอรักและการข่มขืนทำร้ายร่างกาย (Abuse)
จากคนไม่ดี ประกอบกับสภาพสังคมรอบตัวทำให้ Lian Hua แปลกแยก ไม่มีเพื่อนและโดดเดี่ยว (Isolation and Alienation) ปมในใจ
ทั้งสองนี้สะท้อนสิ่งที่สิงคโปร์พบเจอมา อย่างการถูกล่าอาณานิคม การถูกยึดครองเป็นเมืองขึ้น3 ความรุนแรงจากสงครามในอดีตเป็น
ปมในใจชาวสิงคโปร์ อย่างการที่สิงคโปร์ถูกเป็นศูนย์กลางให้อังกฤษทางการค้าและทางทหาร (Abuses the economic success as a justification for undemocratic intervention) สาธารณรัฐสิงคโปร์จึงเป็นประเทศพื้นที่เล็ก ๆ โดดเดี่ยวท่ามกลางนานาประเทศใหญ่ ๆ และปัญหาต่าง ๆ รายล้อมอยู่

นอกจากกลีบในหัวข้อ Isolation and Alienation จากสังคมแล้ว กลีบของการถูกกระทำด้วยความรุนแรง(Violence) ของ
Lian Hua จากผู้ชาย เพศหญิงจึงเป็นที่รองรับของผู้ชาย ซึ่งแสดงถึงการเป็นวัตถุทางเพศ (Sex object) สังคมหรือสิ่งที่พบเจอมีอิทธิพลสำคัญต่อสภาพจิตใจของ Lian Hua การถูกข่มขืน (Abuse) ทำให้เธอเก็บตัวและติดการกิน cream crackers จำนวนมากมากว่ายี่สิบปี ตลอดจนเธอเชื่อในเทพีแห่งความเมตตาหรือก็คือเจ้าแม่กวนอิม สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนถึง National Psyche คือการเป็นชาติใหม่ของสิงคโปร์ หลังจากสิงคโปร์พลักดันตัวเองเป็นอิสระ(Independence) ในปีค.ศ. 1964 ได้สำเร็จ แต่สภาพจิตใจยังคงกังวล ไม่มั่นใจ (Nervous sense of the fragility of its achievements) และหาที่พึ่งพาจิตใจ หรือก็คือการอยู่ได้ด้วยความหวัง


ไม่เพียงแต่ความรุนแรงดังกล่าวทำร้าย Lian Hua แต่สิ่งที่ทำร้ายเธอที่สุดมาโดยตลอดคือเงินตรา (Monetary item) ซึ่งทำให้ชีวิตของ Lian Hua เปลี่ยนไปอย่างเลวร้าย เงินเป็นต้นเหตุของความรุนแรงเหล่านั้น เช่น การเป็นหนี้ของพ่อทำให้คนในบ่อนมาเรียกเงินและข่มขืนเธอ เป็นต้น เมื่อมองมาที่สิงคโปร์ ประเทศเล็กที่มีประชากรหนาแน่นมากแต่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ความอยู่รอดของประเทศมาจากอุตสาหกรรมที่อาศัยวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน การเป็นท่าเรือเป็นที่ค้าขายสิ่งของที่ไม่ใช่ของตน ทั้งนี้เงินตราหรือเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างที่เป็นอยู่นี้ในปัจจุบัน แต่อนาคตอาจไม่แน่นอนไม่มั่นคง (Future Saving) Lian Hua เป็นตัวอย่างของจุดสูงสุดที่เธอได้เป็นนักร้อง Getai สมใจแต่กลับผลิกไปอย่างคาดการณ์ไม่ได้ สิ่งนี้เป็นสารจากภาพยนตร์ให้กับชาวสิงคโปร์ ตัวอย่าง
ในอดีตสิงคโปร์เปลี่ยนแปลงมามากมาย โดยเฉพาะหลังจากนายลี กวน ยู ผู้เปิดประเทศให้สิงคโปร์ได้รับอิสรภาพเมื่อปี 1965
เป็นช่วงเวลาที่สิงคโปร์ต้องฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาและสร้างอัตลักษณ์ให้กับประเทศขึ้นมาจนมีความเป็นจีนแสดงออกอยู่มาก ทั้งภาษา ประชากรส่วนใหญ่ และบ้านเมือง กรอบของความอยู่รอดของสิงคโปร์ในปัจจุบันอาจอยู่ที่เงินโดยปราศจากวัตถุหากินอื่น บ้านเมือง
ที่อยู่อาศัยต้องกระจุกตัวอยู่กันอย่างหนาแน่นจากเงินที่เห็นเป็นแค่เพียงตัวเลข ให้เราเกิดคำถามว่า ‘เงินเหล่านี้กำลังทำร้ายคนในประเทศอยู่หรือไม่?’ ทั้งนี้ในบทภาพยนตร์ของ Lian Hua ได้ตั้งคำถามไว้อย่างมีคุณค่าว่า ‘ทำไมเงินสามารถทำให้คนเสื่อมทรามลงไป (corrupt) และทำให้คนทำสิ่งที่โหดร้าย (inhuman) กับคนอื่นได้?’

สัญลักษณ์ที่ปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถสื่อสารได้กับประเด็นที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับ Royston Tan และต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่นโดยผ่าน Lian Hua อย่างเช่น กล้องคาเลโดสโคป (Kaleidoscope หรือกล้องสะท้อนภาพจาก
แผ่นกระจก) ที่ Lian Hua เล่นในตอนเด็กดูสวยงามนั้น สื่อได้ถึงสิ่งมายา สีสันที่สร้างขึ้นมาให้เห็นผ่านรูเล็ก ๆ ไม่ใช่ของจริง ดูสวยงามได้ในเวลาสั้น ๆ เราทุกคนต้องเข้าใจโลกนี้ หรือจี้แมลงปอที่พ่อของ Lian Hua ให้เก็บไว้เป็นสิ่งเตือนใจถึงแม่ของ Lian Hua ประกอบกับเป็น
ชาวสิงคโปร์เชื่อว่าแมลงปอเป็นสัตว์ที่สามารถสื่อสารกับคนตายได้ แมลงปอแสดงถึงความเชื่อที่ติดตัวชาวสิงคโปร์ถึงการนึกถึงอดีต รวมถึงการนึกถึงบรรพบุรุษ ในตอนท้ายของเรื่อง Lian Hua ยอมกินจี้นี้เข้าไปไม่ให้โดนขโมยไป ไม่ว่าเธอจะเพี้ยนเสียสติไปแล้ว
แต่จิตใต้สำนึกของเธอไม่ยอมให้ของที่เป็นที่รัก ของที่มีค่ามากสำหรับเธอ และเป็นตัวแทนพ่อแม่นี้กับใคร (Asian Family Values) ทั้งนี้หัวข้อต่าง ๆ อย่างคุณค่าของครอบครัวและความไม่มั่นคงอนาคตในภาพยนตร์เรื่อง ’12 Lotus’ เป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลสิงคโปร์

เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้คงสื่อสารถึงคนชาวสิงคโปร์ได้ไม่มากก็น้อย สิงคโปร์มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นกลีบบัวห่อหุ่มเป็นชั้น ๆ จนไม่เห็นเนื้อใน ซึ่งบางกลีบมีทั้งเล็กไปหรือไม่ก็แปดเปื้อนด้วยความกลัว ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้สะท้อนแค่ประเด็นชีวิตอันเลวร้ายของ Lian Hua ที่ใคร ๆ ก็อาจเป็นได้เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแง่คิดให้กับทุกคนไว้ว่า สาเหตุของการมีชีวิตที่เลวร้ายนั้นไม่ได้อยู่ที่ประเทศ
ที่เกิด ไม่ได้อยู่ที่พ่อแม่หรือที่ใคร และไม่มีใครควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เวลาเท่านั้นที่จะทำให้เราโตขึ้น เข้าใจมากขึ้น และเห็นแง่มุมที่
ซ่อนอยู่ ทั้งนี้เราทุกคนต้องเปิดใจ ยอมรับความจริงและเรียนรู้ไปพร้อมกัน

นอกจากตัวละคร Lian Hua เปรียบได้กับความเป็นสิงคโปร์แล้ว ข้อสังเกตจากอีกหนึ่งตัวละครที่ชื่อ ‘Astroboy’
Astroboy เป็นชาวไต้หวันที่มีชีวิตคล้ายคลึงกับเธอ Lian Hua ขาดแม่ พ่อกุมชีวิตเธอ ส่วน Astroboy นั้นขาดพ่อและแม่เป็นผู้กุมชีวิตเขา ดังนั้นสารในกลีบบัวจาก Astroboy นี้สื่อได้ว่าเกาะไต้หวันมีลักษณะใกล้เคียงกับสาธารณรัฐสิงคโปร์ ทั้งสองมีตัวตนและมีรากมาจากจีนค่อนข้างมากเหมือนกัน รวมทั้งต้องการอิสรภาพและอยู่เหนือกว่าประเทศอื่นที่อยู่รายรอบ (From Third to First)

เมื่อมีเบื้องหน้าย่อมต้องมีเบื้องหลัง เบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ ข้อสังเกตหนึ่งคือนักแสดงอย่าง Li Bao-En ที่แสดงเป็น
Liu Lian Hua ตอนเด็ก เธอเป็นชาวมาเลเซียและเป็นนักร้อง Getai ในมาเลเซีย Li Bao-En แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ผูกพันกันระหว่างประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยมีวัฒนธรรมเป็นตัวเชื่อมคือ ภาษาจีนสำเนียงฮกเกี้ยนและการแสดง Getai

ข้อสังเกตถัดมา จากบทเพลง ‘12 Lotus’ ที่ผู้กำกับ Royton Tan ได้ฟังตั้งแต่เด็ก Royton Tan ได้นำวัฒนธรรม Getai และภาษาจีนสำเนียงฮกเกี้ยน (สำเนียงที่พูดกันมากเฉพาะมณฑลฮกเกี้ยนในและเกาะไต้หวัน) ซึ่งทั้งสองเป็นวัฒนธรรมย่อย (Subculture)
ที่ใช้ในสังคมชนชั้นกลางและล่าง (Middle Class and Low Class) ของสิงคโปร์ เมื่อได้นำบทเพลง ’12 Lotus’ มาสร้างสรรค์เป็นภาพยนตร์เรื่อง ’12 Lotus’ ถือเป็นการตีแผ่สังคมหน่วยเล็ก ๆ ของสิงคโปร์ ภาพยนตร์ ’12 Lotus’ บ่งบอกความเป็นตัวของ Royston tan เอง (Personal Creative Vision) ด้วยศิลปะทั้งการร้อง การเต้น และการแสดง Getai ทั้งหมดนี้ได้แสดงถึงความเป็น Auteur อย่างชัดเจนส่งผลต่อภาพยนตร์ในยุคปัจจุบันนี้ และ Royston Tan ก็ได้รับรางวัลที่รัฐบาลสิงคโปร์สนับสนุนคือ รางวัล Silver Screen Award 2009 สาขา Best Singapore Director ด้วย

จากความข้างต้นจะเห็นได้ว่าเบื้องหน้าและเบื้องหลังของภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งใหญ่ ผู้กำกับ Royston Tan ได้ตีแผ่ทั้งฉากหลังของนักร้อง Getai จากตัวละคร ‘Lian Hua’ ที่ต่างจากสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า และสื่อข้อความผ่านภาพยนตร์หรือศิลปะแขนงที่เจ็ดนี้ ในดอกบัวหรือสาธารณรัฐสิงคโปร์นี้มีสิ่งที่ซ่อนอยู่ (Invisible Layers) เป็นชั้นต่าง ๆ ที่อาจมองไม่เห็น ประเทศนี้ช่างแตกต่างกับภาพลักษณ์ที่เห็นและสร้างขึ้นว่าเป็นชาติที่แข็งแกร่งในเศรษฐกิจ เป็นประเทศพัฒนาที่ล้อมรอบด้วยประเทศโลกที่สาม และเป็นอิสระจากประเทศ
อื่น ๆ ทั้งหมดนี้ซ้อนอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง ‘12 Lotus’ เป็นดอกบัวดอกหนึ่ง เป็นดอกบัวแห่งสิงคโปร์ที่ได้โผล่พ้นน้ำมาแล้วหลังจากได้รับเอกราช และเป็นดอกบัวที่เฝ้ารอเวลาให้ชีวิตได้เติบโต ต่อไปดอกบัวนี้จะเบ่งบานแผ่กลีบให้เห็นความสวยงามทั้งหมดอย่างชัดเจน

Bibliography
 "Getai." Available at: http://en.wikipedia.org/wiki/Getai. 16 December 2009.
 "ประเทศสิงคโปร์" Available at: http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศสิงคโปร์. 1 มกราคม 2553.
 "ภาษาจีนสำเนียงฮกเกี้ยน" Available at: http://cyberjoob.multiply.com/journal/item/27/27. 3 พฤศจิกายน 2550.
 "Auteur theory" Available at: http://en.wikipedia.org/wiki/Auteur. 4 December 2009
 "Royston Tan" Available at: http://en.wikipedia.org/wiki/Royston_Tan. 25 December 2009
 "เจ้าแม่กวนอิม" Available at: http://th.wikipedia.org/wiki/เจ้าแม่กวนอิม. 1 พฤศจิกายน 2552


‘’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’’

ราชาเทนนิส ผู้เป็นตำนาน

ราชาเทนนิส ผู้เป็นตำนาน

เมื่อเอ่ยคำว่าเทนนิสโลกแล้ว ทุกคนต้องนึกถึงเขาคนนี้ที่ไม่ว่าจะรายการไหนที่เขาลงแข่ง เขามักจะสะกดคำว่า “ชัยชนะ” มากกว่า “พ่ายแพ้” แต่รู้หรือไม่ว่าราชาคอร์ทเทนนิสนามว่า “Roger Federer” ไม่ใช่แต่ชื่อของนักเทนนิสชายอันดับหนึ่งของโลก แต่เขาคือตำนานลูกสักหลาด

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ หรือ "เฟด-เอ็กซ์" เกิดในปีค.ศ.1981 เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แต่จะเรียกว่าเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์เต็มตัวก็ไม่ใช่ เนื่องจากมารดา เป็นคนแอฟริกาใต้ ส่วนบิดาเป็นชาวสวิสแท้ และมี “ไดอาน่า” น้องสาววัยห่างกันเพียงสองปี แม้ว่าอายุในการเริ่มเล่นเทนนิสของโรเจอร์นั้นอาจจะช้าไปสำหรับโปรหรือนัก กีฬามืออาชีพชื่อดังหลายคน อย่างไทเกอร์ วู้ดส์ที่เริ่มเล่นกอล์ฟเมื่ออายุได้เพียง 2 ขวบ แต่ด้วยวัยแปดปี โรเจอร์ก็สามารถเริ่มต้นกับการแข่งขันเทนนิสในระดับเยาวชน หรือ Junior tennis ได้ดี ด้วยการคว้าแชมป์หลายรายการโดยเฉพาะการชนะเลิศรายการ Wimbledon junior ปี ค.ศ.1998 ทั้งประเภทเดี่ยวและคู่พร้อมกัน นอกจากนั้นสิ้นปี เขาขึ้นเป็นเยาวชนมืออันดับหนึ่งของโลก ซึ่งนี่คงเป็นเพียงก้าวแรกแห่งความสำเร็จในวงการกีฬาลูกสักหลาดของเขา

------------------------------------------
สถิติอันดับโลกของโรเจอร์ เฟดเดอร์เรอร์
1998 – 301
1999 – 64
2000 – 29
2001 – 13
2002 – 6
2003 – 2
2004 – 1
2005 – 1
2006 – 1
2007 – 1
------------------------------------------

โรเจอร์ก้าวเข้าสู้การแข่งขันเทนนิสอาชีพในปีเดียวกัน (1998) เพียงแต่การเริ่มต้นนี้ ทำให้เขารู้ว่าถนนสายระดับโลกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประสบความสำเร็จ เนื่องจากเทนนิสไม่ได้เป็นการแข่งกับตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งนานา อย่างพีท แซมพาส, อังเดร อากัสซี่ นักเทนนิสมือวางอันดับ 1 และอันดับ 2 ในขณะนั้น โดยเฉพาะเลย์ตัน ฮีวิต นักเทนนิสดาวรุ่งที่เข้าสู่วงการเทนนิสอาชีพมาในปีเดียวกันผู้เป็นนักเทนนิส อันดับหนึ่งของโลกต่อมา (ปี 2001) แต่ด้วยบอริส เบคเกอร์ บุคคลผู้เป็นแบบอย่าง และพีท แซมพาส ผู้เป็นนักเทนนิสคนโปรดของเขา บันดาลใจให้เฟเดอเรอร์ฝึกฝนและพยายามยกระดับเทนนิสของตนเอง จนในปีแรก ค.ศ.1998 เขาจบด้วยอันดับ 301 ของโลก

ผลงานของโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ยังไม่เข้าเป้า และมีอันดับโลกไม่สวยสง่า เหมือนครั้งระดับเยาวชน จนมาในปี 2002 เมื่ออดีตยอดนักเทนนิส จอห์น แมคเอนโร ทำนายว่า โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ คือ ราชาเทนนิสผู้ยิ่งใหญ่คนต่อไป หลังจากนั้นผลงานการแข่งขันต่อ ๆ มาของโรเจอร์เป็นที่น่าประหลาดใจ เช่น ในปี 2003 เฟเดอเรอร์สร้างสถิติการรักษาเกมเสิร์ฟของตนเองได้มากถึง 35 เกมติดต่อกันและเสียเซตเพียงเซตเดียว ภายในรอบสองสัปดาห์ของรายการแกรนสแลม (รายการแข่งขันเทนนิสยิ่งใหญ่ 4 รายการแห่งปี อันได้แก่ Australian Open, French Open หรือ Rolland Garros, Wimbledon และ Us Open) แม้แต่มืออันดับ 1 ของโลกขณะนั้น เลย์ตัน ก็ต้องพ่าย ถือได้ว่าเป็นช่วงสูงสุดช่วงหนึ่งของการเล่นเทนนิสของโรเจอร์

อย่าง ไรก็ตามไม่ใครคาดคิด และไม่เห็นเค้าลางว่าคำทำนายนั้นจะเป็นจริง เนื่องจากผลงานของเฟเดอเรอร์ยังไม่ทำให้เขาขึ้นเครื่องมือหนึ่งของโลกได้ แต่ก็เป็นเพียงการสบประมาทชั่วพริบตา คำทำนายนั้นก็เป็นจริงขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะด้วยการทำนายของนักเทนนิสระดับตำนาน หรือด้วยฝีมือของเฟเดอเรอร์เอง เขาสามารถขึ้นครองมือหนึ่งของโลกในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2004 ครั้งแรกและครั้งเดียวที่โรเจอร์ขึ้นครองโดยไม่ปล่อยให้บัลลังค์เทนนิส อันดับหนึ่งโลกนี้เป็นของคนอื่น

ปี 2004 ถือเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ของมือวางอันดับหนึ่งของโลกคนนี้ เนื่องจากเฟเดอเรอร์ได้สร้างสถิติไว้ต่าง ๆ นานา ทั้งการคว้าแชมป์ได้ถึง 11 รายการ ซึ่งมากที่สุดในหนึ่งปีต่อจากอีวาน เลนเดิลในปี 1985 พร้อมทั้งมีอัตราการชนะถึง .925 หรือ 92.5 เปอร์เซ็นต์เทียบเท่ากับอีวานเช่นกัน และ 3 ใน 11 รายการนั้นเป็นรายการใหญ่แห่งปี (Three Grand Slam titles) ซึ่งทำได้ต่อจากแมท์ส วิแลนเดอร์ในปี 1988

เกือบสี่ปี มากกว่าพันวัน จนครบ 205 สัปดาห์เมื่อสิ้นฤดูกาลแข่งขันปี 2007 โรเจอร์สร้างสถิติการครองมือหนึ่งของโลกที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับสี่ รองจากพีท แซมพาส (286 สัปดาห์) อีวาน เลนเดิล (270 สัปดาห์) และ จิมมี่ คอนเนอร์ส (286 สัปดาห์) พร้อมด้วยสถืติในรายการแข่งขันอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การเป็นนักเทนนิสคนแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศรายการ ใหญ่แห่งปีทั้งสี่ติดต่อกันสองปี การทำสถิติคว้าตำแหน่งชนะเลิศ 42 รายการจากการเข้ารอบชิงชนะเลิศ 51 รายการ โดยนับตั้งแต่ปี 2004 จนถึงปีปัจจุบัน (2007) และการรับเงินรางวัลตลอดการแข่งขันเทนนิสอาชีพเป็นจำนวน 38,707,078 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งจากการชนะเลิศประเภทเดี่ยว 53 รายการ และประเภทคู่อีก 7 รายการ เป็นที่สองรองจากพีท แซมพาส (43,280,489 ดอลลาร์สหรัฐ) เป็นต้น

ความสำเร็จบนสนามเทนนิสของ "เฟด-เอ็กซ์" ทำให้เขาได้รับการเชิดชูเกียรติและมอบรางวัลต่าง ๆ ทั้งใน และนอกวงการกีฬา เช่น
ปี 2003 ได้รับรางวัล “Swiss of the Year” จากผู้ชมโทรทัศน์ชาวสวิตเซอร์แลนด์
ปี 2004 ได้รับรางวัลInternational Year of Sport and Physical Education โดยสหประชาชาติ (UN) และเป็นผู้เชิญธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ในพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิก ที่กรุงเอเธนส์
ปี 2005 ได้รับรางวัล “Sexiest Men Alive” และ “International Man of Sexiness” ในรายชื่อของ People Magazine’s
ปี 2006 ได้รางวัล “Sexy Surroundings” โดย Vogue เดือนธันวาคม
ปี 2007 อยู่ในอันดับที่ 30 ของ "The 100 most influential people in the world of sports" ในรายชื่อนิตยสาร Business Week "100 Most Influential People in World" โดย Time Magazine's ได้รับเกียรติให้จัดทำแสตมป์ โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ โดยไปรษณีย์สวิตเซอร์แลนด์ ในเมืองบาเซิล

และปี 2004 ถึงปี 2006
- ได้รับรางวัล “Stefan Edberg Sportsmanship award” และ “ATPtennis.com fans’ favorite in 2004-06” เป็นผู้เล่นแห่งปีของ ATP (Association of Tennis Professionals)
- ได้รับรางวัล I.T.W.A. Player of the Year and Ambassador for Tennis award winner

โรเจอร์ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ก่อนศึก เทนนิส มาสเตอร์ส คัพ รายการส่งท้ายฤดูกาลปี 2007 ที่ เซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า “ตนตั้งเป้าลงดวลแร็กเกตต่อไปจนกระทั่งอายุ 35 ปี” อย่างมั่นใจ และสร้างความฮือหากับสื่อมวลชนด้วยการเลือก แบรด พิตต์ ดาราภาพยนตร์ชื่อดังมาสวมบทตนเอง หากมีการสร้างหนังชีวิตนักหวดดาวดังชาวสวิสคนนี้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม วัย 26 ปีของโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ยังต้องตระหนักถึงการเล่นและสภาพร่างกายในระหว่างทางก่อนที่จะถึง วัย 35 ตามที่กล่าวไว้

จากคนธรรมดาคนหนึ่งที่สนุกกับการนั่งบนชายหาด ชอบเล่นไพ่และปิงปอง อีกทั้งเป็นแฟนตัวยงของทีมฟุตบอล บาเซิล สโมสรเมืองเกิด จนเป็นนักกีฬาเทนนิสมืออาชีพระดับโลก และที่หนึ่งระดับตำนาน

“การ เป็นที่หนึ่งเป็นเรื่องยาก แต่การรักษาที่หนึ่งไว้ยากกว่า” คำกล่าวนี้ เขาได้พิสูจน์ให้ผู้ที่ชื่นชอบกีฬาเทนนิส ผู้ที่เคยสบประมาทเขาไว้ และผู้ชมทั่วโลกแล้ว จากความสามารถของนักเทนนิสอันดับหนึ่งของโลกชาวสวิตเซอร์แลนด์ (ถึงแม้จะเป็นลูกครึ่งก็ตาม) นามว่า “โรเจอร์ เฟเดอเรอร์”

ประสบการณ์การเสพสื่อที่ประทับใจ

ประสบการณ์การเสพสื่อที่ประทับใจ

เวลากว่า 18 ปีที่ผ่านมาของข้าพเจ้า สื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ นิตยสาร ละคร วิทยุโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์ ได้ถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ และความรู้สึก ให้ข้าพเจ้าสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของสื่อเหล่านี้ด้วยลักษณะเฉพาะ ตัวของสื่อแต่ละประเภท อีกทั้งความแตกต่างของเรื่องราว ในแต่ละประเภทของสื่อด้วยความแตกต่างของผู้ส่งสาร ทั้งนี้จากประสบการณ์การเสพสื่อ ข้าพเจ้าตระหนักได้ถึงความสำคัญของการสื่อสาร อีกทั้งยังเป็นหน่วยความจำหนึ่งที่ข้าพเจ้าสามารถคัดเลือกจัดเก็บข้อมูลและ ความประทับใจเหล่านั้นไว้ในความทรงจำ ซึ่งความประทับใจนั้นมีทั้งความรู้สึกที่สุขอย่างปลาบปลื้ม สนุกอย่างหรรษา เศร้าอย่างซึ้งใจ หรือทุกข์อย่างขมขื่น แต่ทั้งนี้นับได้ว่าความประทับใจของข้าพเจ้ามีมากมายและหลากหลาย เช่นเดียวสื่อ

สื่อหนึ่งที่ข้าพเจ้าเพิ่งรู้จักเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสลองสัมผัส ความรู้สึกประทับใจเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าจนทำให้ข้าพเจ้าสนใจ ถึงขนาดที่ข้าพเจ้าติดตามความเป็นไปของสื่อนี้มาโดยตลอดและสัมผัสทุกครั้ง ที่มีโอกาส อีกทั้งเมื่อกล่าวถึงสื่อที่ประทับใจขึ้นมา ข้าพเจ้าจะนึกถึงสื่อนี้ในทันที เนื่องจาก สื่อตามที่กล่าวมาถึงความรู้สึกดีนี้เป็นสื่อหนึ่งในศาสตร์การแสดงที่มีความ เป็นมายาวนาน และได้รับการกล่าวขานถึงความยากของการแสดงที่ต้องใช้ฝีมือประสบการณ์และการ ฝึกซ้อมอย่างหนัก ด้วยลักษณะเช่นนี้สื่อที่ข้าพเจ้าประทับใจอย่างสุขตราตรึง คือ ละครเวที
ข้าพเข้ามีโอกาสรับชมละครเวทีครั้งแรกจากที่ข้าพเจ้าได้รับข้อมูลประชา สัมพันธ์ของละครเวทีเรื่องหนึ่ง ทั้งจากการจัดแสดงตามป้ายประกาศต่าง ๆ และจากการให้สัมภาษณ์ของผู้กำกับและนักแสดง รวมไปถึงการเจาะลึกเบื้องหลังการทำงานของละครเวทีเรื่องที่กำลังจะจัดแสดงนั้น ข้อมูลสำคัญที่ข้าพเจ้าได้รับจากการประชาสัมพันธ์นั้นคือ ละครเวทีเรื่องนี้ได้นำมาจากหนังสือที่ประพันธ์โดยนักประพันธ์ชื่อดังคน หนึ่งของเมืองไทย ซึ่งงานเขียนของเธอหลายเรื่องได้ถูกนำมาดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ มากมายหลายครั้ง และทุกเรื่องได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องที่นำมาจัดทำเป็นละครเวทีนี้ก็ได้รับความนิยมมาจากในรูปตัว หนังสือและนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์ และภาพยนตร์ จนในที่สุดได้ทำเป็นละครเวทีอีกหนึ่ง นอกจากนี้ ละครเวทีเรื่องนี้เคยทำการจัดแสดงไปแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้าไม่นาน และครั้งนี้จะนำมาแสดงใหม่ด้วยกระแสผู้ชมที่ต้องการชมอีกมาก จึงทำให้จัดขึ้น ทั้งนี้ระยะเวลาของครั้งหลังห่างกับครั้งก่อนที่แสดงจบไปเพียงไม่กี่ปี ข้าพเจ้าจึงขอคุณแม่ซื้อบัตรชมละครเวทีเรื่องนี้ ถึงแม้ราคาบัตรจะค่อนข้างสูง แต่หลังจากที่ได้ชม ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจอย่างมาก ละครเวทีที่บรรยายสรรพคุณมานั้นคือ เรื่อง “ทวิภพ เดอะ มิวสิคัล”

สิ่งที่สัมผัสได้จากการชมละครเวทีอันได้จากลักษณะอันโดดเด่นของละรเวทีและ ลักษณะของมิวสิคัล (การแสดงประกอบการร้องเพลง) คือการแสดงของผู้แสดงที่แสดงต่อหน้าผู้ชม ด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งเครื่องแต่งกาย ฉาก แสง และเสียง อีกทั้งการโต้ตอบของผู้ชมที่มีต่อผู้แสดงในทันที ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะหรือเสียงปรบมือ นอกจากนี้คือสุนทรียรสด้วยทำนองเพลงบรรเลงและคำร้อง ด้วยประสบการณ์หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับชมละครเวทีในเรื่องต่อ ๆ มา “ทวิภพ เดอะ มิวสิคัล” ยังเป็นละครเวทีเรื่องแรกและเรื่องที่ข้าพเจ้าประทับใจมากที่สุด

ความแตกต่างที่เรื่อง “ทวิภพ เดอะ มิวสิคัล” แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ช้าพเจ้าสังเกตได้ตลอดทั้งการแสดง คือเ การแสดงเปิดตัวด้วยการฉายภาพเคลื่อนไหวลงบนผ้าขนาดใหญ่ซึ่งใช้เป็นฉากแสดง อันเป็นลูกเล่นที่ตระการตา จากนั้นฉากต่อ ๆ มามีเทคนิคของพื้นเวทีที่สามารถหมุนพื้นในรูปของวงกลมโดยที่แต่ละส่วนของวง กลมที่ยื่นออกมาในแสงเวทีจะเป็นฉากหนึ่งของการแสดง เทคนิคของแสงในการเปลี่ยนกาลเวลา เนื่องด้วยในเนื้อเรื่องมีกระจกที่เป็นสื่อระหว่างยุคหนึ่งกับอีกยุคหนึ่ง ในการพามนุษย์ข้ามเวลากลับไปในอดีต ซึ่งแสงที่นำมาใช้สามารถให้ผู้ชมสังเกตไม่ถึงว่าฉากนั้นเปลี่ยนไปตอนไหน หรือตัวละครเข้าไปในกระจกนั้นด้วยวิธีใด นอกจากเทคนิคทางการวางแผนดังกล่าว เรื่องนี้มีสิ่งหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชม รวมถึงข้าพเจ้าอย่างมากคือเทคนิคทางเครื่องแต่งกายของผู้แสดงทั้งตัวละคร หลักและนักเต้น เนื่องด้วยความสวยงามวิจิตรในแต่ละชุดที่ละเอียดและหลากหลาย และเทคนิคเครื่องแต่งกายชุดหนึ่งในฉากของนางเอกที่ติดตาตรึงใจข้าพเจ้ามาจน ทุกวันนี้อยู่ที่ฉากที่นางเองเปลี่ยนชุดด้วยการปลดให้เสื้อด้านบนตกลงมาเป็น กระโปรงเป็นชุดใหม่ ซึ่งฉากนั้นประกอบกับเพลงขับร้องที่ทรงพลังจึงเป็นภาพหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่ ลืมไปจาก “ทวิภพ เดอะ มิวสิคัล” ได้

หากความประทับใจอันเกิดขึ้นเพียงได้ชมจากการแสดงที่ออกมาคงไม่ถึงแก่นที่จะประทับในใจได้มากที่สุด แต่ด้วยความลึกซึ้งของเบื้องหลัง ไม่ว่าด้วยการควบคุมของผู้กำกับ การสร้างสรรค์ออกแบบฉาก แสง เสียง การแต่งเพลงทั้งคำร้องและทำนองแบบออร์เคสตรา และที่สำคัยไม่เป็นรองส่วนอื่น ๆ ของละครเวทีคือบทละคร สิ่งสำคัญหนึ่งที่สามารถควบคุมการดำเนินเรื่องได้ ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชม อันเป็นความอัจฉริยะที่สามารถมองภาพหรือจินตนาการได้ ทำสิ่งที่เป็นนามธรรมส่งผ่านความคิดมาเป็นคำพุดให้เป็นเรื่อง ให้เกิดอารมณ์ และให้มีพลังได้

ลักษณะในส่วนต่าง ๆ ทั้งที่เป็นลักษณะของละครเวที และลักษณะที่ละครเวทีเรื่อง “ทวิภพ เดอะ มิวสิคัล” มีนั้นล้วนสร้างแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าเห็นถึงความทุ่มเทจากความพยายามและ ความสามารถรวมกันเป็นการทำงานที่รวบรวมศาสตร์หลาย ๆ แขนงไว้ ฉะนั้นละครเวทีแต่ละเรื่องจำเป็นต้องใช้ความรู้และทักษะที่หลากหลายและต่าง การฝึกฝน เช่น การเขียนบท การฝึกซ้อมการแสดง การปรับใช้เทคนิคต่าง ๆ ของสียงและแสง การออกแบบและจัดทำฉาก เป็นต้น

ละครเวที สื่อหนึ่งที่ข้าเจ้าประทับใจนี้ ยังมีสื่ออื่น ๆ ที่ทำให้เกิดความประทับใจที่แตกต่างกัน อย่างสื่อภาพยนตร์จะให้ความรู้สึกในเทคนิคการตัดต่อ การจัดภาพ แสงและเสียงที่ทั้งจัดทำเองและเป็นธรรมชาติ ซึ่งภาพยนตร์จะสะท้อนถึงชีวิตสังคม ความคิดสร้างสรรค์ที่มาจากจินตนาการได้โดยข้อจำกัดมีน้อยกว่าการทำภาพยนตร์ ในอดีตซึ่งทักษะ การฝึกฝน รวมไปถึงลักษณะการทำงานการทำภาพยนตร์แตกต่างจากละครเวที อย่างไรก็ตาม ศิลปะล้วนมีหลากหลายมากมายเป็นศาสตร์การแสดงแขนงหนึ่งที่มีองค์ประกอบให้ ประกอบกันเป็นละครเวทีเรื่องหนึ่งมากมาย ในแต่ละเรื่องนั้นมีความยากที่ไม่เท่ากัน บางเรื่องอาจยากที่บทละครที่ต้องดัดแปลง บางเรื่องอายากที่การค้นคว้าหาข้อมูลอ้างอิง แต่เรื่อง “ทวิภพ เดอะ มิวสิคัล” ข้าพเจ้าสังเกตว่าความยากอยู่ในทุก ๆ ด้าน รวมถึงความยากที่กล่าวผ่านมา

ข้างหลังภาพ

เรื่องที่... เล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก
อยากเล่า... ในมุมมองอื่น
คือเรื่อง... ที่มีความหมาย มีคุณค่า

...อะไร ?

“ข้างหลังภาพ”


...ทำไม ?

“ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก”
“ความรักของเธอเกิดที่นั่น และตายที่นั่น แต่ของอีกคนยังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ”

สองวลีนี้คือความประทับใจของใครหลายคน จากบทประพันธ์ “ข้างหลังภาพ” ของศรีบูรพา มีเนื้อหาสะท้อนภาพของหม่อมราชวงศ์กีรติ หญิงผู้มีความรักที่บริสุทธิ์ในร่างและจิตใจที่บริสุทธิ์ เป็นกุลสตรีในอุดมคติของไทยคนหนึ่ง ซึ่งผู้อ่าน “ข้างหลังภาพ” ตั้งแต่ครั้งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ” รายวัน เมื่อปี พ.ศ. 2480 หรือหนังสือรวมเล่มหลายต่อหลายครั้งที่พิมพ์ของสำนักพิมพ์มากมาย หรือชมผ่านภาพยนตร์โดยการกำกับของเปี๊ยก โปสเตอร์ เชิด ทรงศรี หรือกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา พ.ศ.2551 ในละครเวที “ข้างหลังภาพ เดอะมิวสิคัล” ต่างล้วนสัมผัสได้ถึงคุณค่าของงานประพันธ์ คุณค่าของภาษาไทย รวมถึงคุณค่าของขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมและความเป็นไทย เนื่องด้วยศรีบูรพาได้ประพันธ์ไว้อย่างลึกซึ้งทั้งภาษาที่สวะสลวยสวยงามและเนื้อหาที่ลึกซึ้ง อย่างการสื่อความโดยนัยของคุณหญิงกีรติต่อนพพร เป็นความลึกซึ้งและซับซ้อนให้คุณค่าทางวรรณกรรมอย่างแยบยล นอกจากนั้นผู้แต่งได้เสนอมุมมองส่วนตัวลงไปด้วย ไม่ว่าการเป็นกุลสตรีไทยที่รักนวลสงวนตัวคือความความงามอย่างมีคุณค่า แม้คุณหญิงกีรติจะไม่สมหวังในความรักแต่ก็ตราตรึง ประทับใจผู้อ่านหรือผู้ชมได้ตลอดมา รวมไปถึงทัศนะต่อคนในสมัยนั้นว่า นักเรียนนอก ใช่ว่าจบแล้วจะดีกว่า เก่งกว่า แค่มีโอกาสดีกว่า แต่หากไม่รู้จักแสวงหาโอกาสทำคุณประโยชน์หรือทำความเจริญให้กับบ้านเมือง ก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าไป เป็นต้น

“ข้างหลังภาพ” เป็นตำนานรักอันอมตะ ถูกพูดถึงกันมามากมายหลายต่อหลายครั้ง เนื่องด้วยทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชีวิตต้องมีและ
ต้องประสบพบเจอความรักเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้จักความรักอย่างดี “ความรัก” จึงง่ายต่อการเข้าถึงและรับสารของทุกคน

สำหรับการนำเสนอเรื่อง “ข้างหลังภาพ” มักจะถ่ายทอดมุมมองของความรักต่างวัย ที่มาพบกันในต่างแดน มีความสุขกันที่มิตาเกะ แต่ด้วยอุปสรรคของวัย ทัศนคติ สภาพสังคมชนชั้นและขนบจารีตประเพณีต่าง ๆ ทำให้กีรติเป็นสตรีผู้ไม่สมหวังในความรัก ซึ่งเป็นเช่นนี้ทุกครั้งไป แต่ใครเล่าจะเสนอมุมมองของเรื่องรักที่อมตะนี้ต่างออกไปหรือเพิ่มเติมเนื้อหา ซึ่งยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจสามารถสะท้อนมุมมองให้คุณค่าเพิ่มเติมแก่ผู้รับชม ด้วยทัศนะส่วนตัวและวิธีในการเล่าเรื่องหรือแนวคิดการนำเสนอ (Styles of Expression) ได้ จึงเป็นเหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกเรื่องนี้มาตอบ




...อย่างไร ?

จากความประทับใจในบทประพันธ์ และชื่นชมผู้แต่งเป็นทุน “ข้างหลังภาพ” ในฉบับที่ข้าพเจ้าต้องการจะเสนอ เป็นการขยายเนื้อหาที่แฝงอยู่ และเป็นการเพิ่มเติมมุมมองใหม่ลงไป เพื่อสะท้อนสาระหรือคุณค่าเพิ่มเติมนอกเหนือจากบทประพันธ์ลงไปสู่ผู้รับชม อย่างไรก็ตามยังคงลำดับเหตุการณ์ เล่าเรื่องเหมือนเดิมตามต้นฉบับ

ประการแรกคือการให้ความสำคัญกับตัวละครที่มีชื่อว่า “เจ้าคุณอธิการบดี” มากขึ้น ให้ความเด่นชัดกับเรื่องราวที่มีอยู่ โดยใช้วิธีการสื่อสารผ่านมุมมองของเจ้าคุณอธิการบดี ชายวัย 50 ปี(เมื่อเริ่มเรื่อง) ผู้เป็นสามีของหม่อมราชวงศ์กีรติ เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับขยายเนื้อหาที่มีลงไป และใส่รายละเอียดที่ไม่ได้กล่าวถึงในบทประพันธ์ อย่างการบอกเล่าหรือบ่งบอกถึงความคิด ความรู้สึก และเหตุผลในการกระทำของท่านเจ้าคุณให้ผู้อ่านหรือผู้ชมวิเคราะห์ได้ว่าท่านเป็นคนอย่างไร สิ่งที่บทประพันธ์กล่าวข้ามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านเจ้าคุณตั้งแต่ก่อนและหลังการแต่งงานกับคุณหญิงกีรติ เป็นเช่นไร เช่น เจ้าคุณอธิการบดีมีความรักแท้จริงกับคุณหญิงอธิการบดี ภรรยาคนก่อนมาโดยตลอด จนวินาทีสุดท้ายก่อนที่เธอจะเสีย มีคำพูดที่ท่านให้ไว้กับคุณหญิงว่า “รักนี้มอบให้กับเธอชั่วนิรันดร์” หรือท่านเจ้าคุณหยิบรูปคุณหญิงอธิการบดีก่อนนอนทุกครั้งแม้จะแต่งงานกับหม่อมราชวงศ์กีรติแล้วก็ตาม เป็นการให้ภาพว่าท่านยังอาลัยและคิดถึงคุณหญิงอยู่ตลอด ไม่เสื่อมคลาย สลายไปกับกาลเวลา หรือฉากอื่นก็ใส่เนื้อหารายละเอียดลงไป อย่างขณะท่านเจ้าคุณอยู่ที่ประเทศไทยหรือในระหว่างเดินทางมาประเทศญี่ปุ่น ท่านเจ้าคุณแสดงออกอย่างไร ท่านเจ้าคุณประคองหรือแสดงความใส่ใจ หันไปมองคุณหญิงด้วยสายตาอย่างพ่อที่ปกป้องคุ้มครองดูแลลูก แสดงออกถึงความรักแต่ไม่ใช่อย่างคู่รักอย่างห่วงใย หรือขณะอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว ท่านเจ้าคุณปล่อยให้คุณหญิงอยู่กับนพพรตามลำพังด้วยเหตุผลใด อาจเพิ่มฉากว่าท่านรู้เห็นทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าคุณหญิงกีรติกับนพพรไปกรรเชียงเรือ ท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะมิตาเกะด้วยกัน ด้วยเหตุที่ท่านให้แม่ครัว คนที่เดินทางมาญี่ปุ่นพร้อมกับท่านเจ้าคุณและคุณหญิงกีรติ ติดตามดูแลคุณหญิงอยู่ห่าง ๆ เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ท่านเจ้าคุณจึงรู้ แต่ท่านเจ้าคุณก็ยอมรับและเคารพคุณหญิงเสมอ ซึ่งบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกสัมพันธ์ที่ท่านเจ้าคุณมีต่อคุณหญิงกีรติ ซึ่งท่านไม่ใช่เจ้าของคุณหญิงกีรติ แต่ท่านรักและสงสารคุณหญิงเอง จึงมอบความดูแลคุ้มครองให้ด้วยใจบริสุทธิ์

ประการที่สองคือ มุมมองนอกเหนือจากการประพันธ์ เนื้อหาที่ข้าพเจ้าต้องการจะสื่อเพิ่มเติมว่า ผู้ใหญ่อย่างท่านเจ้าคุณและคุณหญิงกีรติไม่ใช่คนที่ไม่ทันต่อโลกหรือไม่ยอมรับกับความเปลี่ยนแปลง แต่เป็นผู้ที่สามารถตั้งรับ และปรับตัวเข้ากับโลกหรือความเปลี่ยนแปลงได้ด้วยเหตุผลด้วยความเข้าใจ ต่างกับวัยรุ่นอย่างนพพรที่พยายามต้องปรับตัวเองและรับสิ่งต่าง ๆ เพียงเพื่อความพอใจอย่างไม่คิด ซึ่งจะสะท้อนต่อผู้รับชมในปัจจุบัน โดยเฉพาะวัยรุ่น วัยที่ไวต่อการรับสารและเอื้อต่อโลกภิวัตน์หรือความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จนขาดวิจารณญาณ สติ หรือแม้กระทั่งตัวตนที่แท้จริง ซึ่งถูกกลืนกินไปพร้อมกับการได้มา ผ่านการเพิ่มเติมเนื้อหาที่ไม่ได้กล่าวไว้เข้าไป เป็นต้นว่า ณ ประเทศญี่ปุ่น นพพร นักเรียนไทยที่ไปศึกษาวิชาการทางด้านธนาคารที่นั่น มารับท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงกีรติด้วยการโค้งคำนับ แต่ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงกลับรับด้วยการไหว้ นั่นไม่ได้หมายความว่าท่านทั้งสองต้องการจะปฏิเสธความเป็นญี่ปุ่น เพียงแต่เหตุและผลของสถานที่ อีกทั้งความเป็นคนไทยด้วยการไหว้เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงตัวตน รากเหง้าได้ ส่วนการโค้งคำนับของนพพรนั้นแสดงว่า นพพรอยู่ที่ญี่ปุ่นมานานจนกลืนเป็นส่วนหนึ่งจนแสดงการคำนับตามวัฒนธรรมญี่ปุน แล้วต้องการให้ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงกีรติรับกับวัฒนธรรมนี้ หรือนพพรไม่ทันคำนึงถึงเรื่องการไหว้ของไทยนี้

จากทั้งสองประการที่เสนอมาสามารถนำมารวมกันเสนอเป็นใจความใหญ่ได้ ตัวอย่างเช่น แม้อดีตจะมีการคลุมถุงชนหรือแต่งงานกันอย่างไม่ยินยอมมากกว่าปัจจุบัน แต่การที่เจ้าคุณอธิการบดีครองคู่กับคุณหญิงกีรติ เป็นสามีภรรยากันมาได้จนคนใดคนหนึ่งจากไป เป็นการแสดงออกให้เห็นว่าสามีในสมัยก่อนนั้น ความรักไม่ใช่ปัจจัยให้คู่รักครองคู่ได้ แต่เป็นการให้เกียรติ ความไว้ใจให้กัน เวลา และการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงของ
กันและกัน แล้วชีวิตคู่ของทั้งสองจะคงอยู่ได้ด้วยความเป็นห่วงและเกรงใจ แม้ความรักจะไม่มีหรือเจือจางลง การที่ท่านเจ้าคุณอธิการบดีปฏิบัติต่อหม่อมราชวงศ์กีรติ ตลอดมา โดยเฉพาะที่เราสังเกตได้จากที่ประเทศญี่ปุ่น คือ ท่านเป็นผู้ใหญ่มีเหตุมีผล ยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ให้เกียรติคุณหญิง ให้คุณหญิงเลือกทำในสิ่งที่ต้องการ ไม่บังคับหรือห้ามหรือรั้งตัวคุณหญิงไว้ให้อยู่กับตน อย่างการเดินทางไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นนั้น ท่านเจ้าคุณเองมีเหตุผลที่ท่านต้องการมอบความสุขให้คุณหญิงกีรติ เนื่องด้วยท่านรักและสงสารในตัวคุณหญิง อยากให้การที่แต่งงานกันนั้นมีความหมายบ้าง แม้จะแต่งงานกับคนอายุมาก อย่างท่านเจ้าคุณ นั่นจึงทำให้ตลอดมา คุณหญิงก็ได้แสดงออกซึ่งภรรยาที่ดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ ปรนนิบัติดูแลท่านเจ้าคุณ ไม่รังเกียจต่อโรคภัยที่ท่านเจ้าคุณเผชิญอยู่จนวินาทีสุดท้าย นอกจากนี้การที่ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงกีรติซึ่งเป็นตัวอย่างของคู่รักหนึ่งที่เริ่มต้นแต่งงานโดยปราศจากความรักเหมือนคู่อื่นทั่วไป สะท้อนถึงการมีชีวิตคู่อย่างคนในปัจจุบันที่คำนึงถึงแต่คำว่า “รัก” เพียงอย่างเดียว อีกทั้งต้องการให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงเพื่อเราและไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง ซึ่งอาจเป็นตัวการหนึ่งที่การครองรักได้ไม่นาน สุดท้ายต้องแยกจากกัน

จากตัวอย่างที่ผ่านมา คงแสดงให้เห็นว่า ใช้ประเด็นเสนอด้วยมุมมองนี้สื่อสารให้ผู้รับสารเข้าใจและคำนึงถึงได้ทั้งใจความหลัก พร้อมทั้งแตกเป็นใจความย่อย ๆ ที่สามารถสะท้อนเป็นกระจกเงามาสู่ปัจจุบันนี้ได้ ซึ่งคงต้องใช้การถ่ายทอด ไม่ว่าภาพหรือเสียงหรือด้วยข้อความ อย่างบทสนทนาเพิ่มเติมลงไป ดังตัวอย่างต่อไปนี้

คืนที่ท่านเจ้าคุณได้รับเชิญไปในงานรื่นเริงรายหนึ่ง แต่หม่อมราชวงศ์กีรติไม่สบาย แต่กลับต้องไป ด้วยใจหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเลี่ยงไม่ไปตามคำเชิญจะเสียมารยาท เนื่องจากตนเป็นแขกบ้านแขกเมือง เดินทางมาประเทศอื่น ปฎิเสธไปจะดูไม่ควร แต่อีกใจหนึ่งท่านเจ้าคุณอาจต้องการอยู่กับคุณหญิงดูแลตามความเป็นสามี เนื้อเรื่องกลับพูดถึงท่านเจ้าคุณเพียงว่า ท่านเจ้าคุณขอให้นพพรอยู่เป็นเพื่อนภรรยาของท่านเท่านั้น แล้วกล่าวถึงฉากที่นพพรกับคุณหญิงกีรติไปกรรเชียงเรือเล่นทันที ฉะนั้นจึงควรเพิ่มเติมฉาก ขยายบทลงไป เช่น


หลังจากที่ท่านเจ้าคุณกล่าวขอให้นพพรอยู่เป็นเพื่อนคุณหญิง ขณะเตรียมชุด แต่งตัวออกจากบ้าน แม่ครัว ผู้ที่ท่านเจ้าคุณใช้ให้ติดตามดูแลคุณหญิงเดินเข้ามาพูดถึงเรื่องคุณหญิงกับนพพรอยู่ด้วยกันสองคนจะดูไม่งาม ดังนี้

“ท่านเจ้าคุณค่ะ คุณหญิงกับคุณนพพร...”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้ ฉันเข้าใจ หล่อนก็รู้ว่าฉันกับกีรติ...”
“ค่ะ...”
“ฉันให้นพพรมาดูแลคุณหญิงแทนฉัน”
“แต่นั่นจะดูไม่งาม...”
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ฉันต้องเข้าใจและยอมรับ แม้มันยากที่จะบังคับใจ ฝืนในสิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ฉันก็ต้องยอมรับ บังคับใครไม่ได้
ก็เปลี่ยนตัวเอง หล่อนไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ ปล่อยให้คุณหญิงได้ใช้ ใช้เวลาของเธอ” จากนั้นเจ้าคุณอธิการบดีเดินออกจากบ้านพักมาขึ้นรถเดินทางไปงาน

ขณะนั่งอยู่ในรถ เจ้าคุณอธิการบดีหยีบสร้อยพระที่สวมอยู่มาไว้ในมือ แล้วอธิษฐานในใจ
“กีรติ ฉันรัก... และสงสารเธอ ฉันอยากให้เธอมีความสุขนะ”


เหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกขยายและเพิ่มเติมมุมมองของเจ้าคุณอธิการบดี เนื่องด้วยมีรายละเอียดบางอย่างที่ข้าพเจ้าสงสัยขณะอ่านและรู้สึกว่าทำไมถึงกล่าวข้ามไป จึงอยากสร้างให้ตัวละครนี้มีบทบาทมากขึ้น ยังมีความลึกซึ้งแฝงอยู่ รวมถึงสะท้อนอะไรได้มากกว่าเพียงเป็นผู้สูงด้วยศักดิ์และวัยธรรมดาทั่วไป เช่น แม้ท่านเจ้าคุณจะผ่านชีวิตการครองคู่มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่เรื่องราวในบทประพันธ์กับเนื้อหาที่เพิ่มเติมเข้าไปก็สามารถเป็นตัวอย่างได้อย่างดีว่า ท่านเจ้าคุณสามารถยอมรับและปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างดีและมีสติ ไม่ติดอยู่กับอดีต ความเศร้าโศกที่เสียคุณหญิงอธิการบดีไป ซึ่งสามารถเสนอภาพเพิ่มเติมได้อีกว่า ท่านเจ้าคุณมีสติมีจิตใจที่เข้มแข็งอยู่ได้ด้วยพระพุทธศาสนา ให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ทำใช้ชีวิตและจิตใจสงบ ดำรงชีวิตอย่างไม่ประมาท ต่างกับนพพรที่ยังหนุ่มแต่จมอยู่กับการที่คุณหญิงกีรติต้องจากตนไป ขาดสติและเหตุผลระงับ อาจคิดว่าตนเป็นเหมือนศูนย์กลางของจักรวาลที่ดาวดวงอื่นจะต้องโคจรเป็นบริวารตน เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเรื่องราวของเจ้าคุณอธิการบดีสามารถเพิ่มเรื่องราวได้มากมาย อีกทั้งสะท้อนมุมมองที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านผู้ชมได้ทุกยุคสมัย ประกอบกับคุณค่าที่แฝงอยู่มากมายในบทประพันธ์เดิมอย่างข้อมูลทางประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว สภาพสังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ตัวอย่างเช่น มิตาเกะ เป็นสถานที่คุณหญิงกีรติและนพพรเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน และเกิดเรื่องราวความรักตามในบทประพันธ์ ซึ่งสร้างความอยากรู้อยากเห็นว่า สถานที่นี้ สวยงามเช่นไร เมื่อผู้อ่านสนใจแล้วติดตามไปที่มิตาเกะแล้ว ก็จะพบกับธรรมชาติความสวยงาม ประวัติความเป็นของสถานที่ อีกทั้งท่องเที่ยวในบริเวณนั้น เช่นวัดมิตาเกะ วัดผสมระหว่างชินโตกับพระพุทธศาสนา ได้ถูกสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติ และเรียนรู้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเพิ่มเติม เป็นต้น

ข้าพเจ้าในฐานะเป็นผู้อ่าน “ข้างหลังภาพ” คนหนึ่งรู้สึกว่า ท่านเจ้าคุณเป็นผู้ใหญ่สูงอายุที่เข้าใจในตัวของคุณหญิงกีรติ สงสารและเอ็นดูคุณหญิง การวิวาห์ไม่ใช่การผูกมัดให้คุณหญิงต้องมาจมปรักอยู่กับชายร่างที่ใกล้จะดับนี้ พร้อมและให้โอกาสคุณหญิงหากพบชายที่ใช่หรือเหมาะสม อย่างที่นพพรสามารถอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกันสองต่อสองได้ ซึ่งตามประสาของผู้ที่เป็นสามีย่อมต้องหวงหรือรั้งให้ตนได้อยู่ใกล้ชิดกับภรรยา ไม่ให้ใครอื่นมาเกาะแกะด้วย ซึ่งจากทั้งสองประการที่กล่าวมา ทั้งการขยายและเพิ่มเติมเนื้อหาสามารถประสานสอดคล้องเป็นเรื่องหลักใหญ่ ผ่านตัวละคร “เจ้าคุณอธิการบดี” ได้เป็นเนื้อเดียว เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่หยั่งราก แตกสาขาไปได้ทั่ว ซึ่งรากเหล่านั้นเป็นดั่งความคิดอีกทัศนะมากมายที่ได้จากต้นไม้ต้นนี้ ซึ่งอาจแฝงไว้อยู่อย่างแยบยล จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจในตัวท่านเจ้าคุณมากขึ้นและคลายความสงสัย หากผู้อ่านหรือผู้ชมท่านใดมีความรู้สึกฉงนอย่างข้าพเจ้า รวมถึงสามารถเป็นตัวอย่างการเสริมเติมเรื่องราวให้มากขึ้น จุดประกายผู้รับชมท่านอื่นหาข้อมูลประกอบเรื่องราว “ข้างหลังภาพ” นี้ ให้สมบูรณ์หรือหลากหลายนานาทัศนะมากขึ้น

สำหรับวิธีการนำเสนอนั้นข้าพเจ้าคงแนวคิดการนำเสนอศิลปะแบบสัจนิยม หรือ Realism ไว้ตามปกติเหมือนจริงอย่างภาพที่เสนอกันมาในภาพยนตร์หรือละครเวที ความเป็นธรรมชาติทั่วไป สมจริง และเป็นธรรมดามนุษย์ เนื่องด้วยเรื่องมุมมองที่ข้าพเจ้าใช้เป็นเพียงการเพิ่มเติมอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง สำหรับการสร้างสรรค์ด้วยวิธีอื่น อย่างแนวคิดความจริงอันสูงสุด (Surrealism) หรือแนวสัจนิยมมหัศจรรย์ (Magical Realism) จะใช้เพื่อสร้างเสริมอัธรสหรือเพิ่มความงดงามทางภาพ การสื่อความหมายมากขึ้นให้กับการกระทำของตัวละครในเรื่อง อย่าง สีของธรรมชาติ ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงผ่านลำธารเป็นสีชมพูประกาย โขดหินที่มิตาเกะมีรูปร่างคล้ายคนรักกันแสดงว่ามิตาเกะเป็นสถานที่ก่อเกิดความรักให้กับใครมาแล้วหลายคู่ หรือสะท้อนว่าความรักของคุณหญิงและนพพรเกิดขึ้นที่นั่น และทันทีที่คุณหญิงเอามือสัมผัสน้ำบนเขามิตาเกะ มือก็เปลี่ยนสี สื่อถือคนที่กำลังมีความรักเป็นความมหัศจรรย์ (Magical) หนึ่ง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ยังต้องคงความกลมกลืนระหว่างความเป็นธรรมชาติกับความสมจริง ด้วยการแทรกความเหนือจริงนี้

จากคำตอบที่กล่าวมาทั้งหมด ข้าพเจ้าหวังว่าจะเป็นการเล่าเรื่องในมุมมองใหม่ที่มีความหมายและสร้างคุณค่าเพิ่มเติมให้กับบทประพันธ์ได้ไม่มากก็น้อย หากการนำเสนอนี้ผิดพลาดประการใด หรือมีสิ่งใดไม่สมควร ไม่เหมาะสม ข้าพเจ้าขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ความรัก … ใช่ไหม

ความรัก … ใช่ไหม

สิ่งที่สวยงาม... สิ่งที่ลวงหลอก... สิ่งที่เพิ่มเติมความสุข... สิ่งที่บั่นทอนความทุกข์... สิ่งที่เป็นสีสันให้กับชีวิต... สิ่งที่มนุษย์ไขว่คว้า... ต่างคนก็ต่างมีความหมายหรือนิยามความรักที่แตกต่างกัน เข้าใจความรักในรูปแบบที่หลากหลาย แล้วอะไรคือ ความหมายของคำว่า “ความรัก” ที่แท้จริง

มนุษย์ไม่ได้ดำเนินชีวิตไปวัน ๆ ตามกาลเวลา ที่คอยให้อนาคตอันไม่สามารถล่วงรู้ได้เกิดขึ้นเป็นปัจจุบัน แล้วปล่อยผ่านไปเป็นอดีตเท่านั้น แต่ความคิด ทัศนะ และความรู้สึกจะพาให้เราพานพบกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้มีจุดหมายในชีวิต ส่วนความทรงจำจะทำให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบผ่านไปนั้น มีค่าและมีความหมายกับเราทั้ง ณ เวลาที่ดำเนินอยู่และกำลังใกล้เข้ามา ส่งผลกับจิตใจของเราที่มีความสำคัญ และหากจะเปรียบกับสิ่งใดในโลก ก็หาที่เหมาะสมได้ยาก

เหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย ที่เราต่างมีพ่อมีแม่ให้กำเนิด แล้วคอยเฝ้าดูแลเลี้ยงดู คอยเป็นห่วงเป็นใยทะนุถนอม และคอยมอบความรักให้ โดยที่ท่านทุ่มเททั้งกาย ใจ และเวลาที่เหลืออยู่ทั้งหมดของท่าน ตั้งแต่เรามีชีวิตขึ้นมา จนถึงเวลาที่ไม่มีกำลัง

อุแว้..อุแว้ !! ท่านอุ้ม กอด ให้นม หาอาหาร อาบน้ำ เช็ดน้ำลาย ป้อนข้าว ทำความ-สะอาด พาไปหาหมอยามเจ็บป่วย ล้วนทำสิ่งต่าง ๆ ให้เราสบาย ปลอดภัย และมีความสุข พอวัยเข้าเรียน ท่านก็ขับรถไปส่ง เดินถือกระเป๋าและจูงเราที่ร้องไห้เข้าโรงเรียน ขับรถมารับกลับบ้าน ช่วยทำการบ้าน ป้อนข้าวป้อนน้ำ ซื้อของเล่นให้ พาไปเที่ยวสวนสนุก ซื้อเกม ซื้อการ์ตูน ซื้อขนม ดูแลเราตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นเรามีความสุข ท่านก็สุขใจ จะพาไปอาบน้ำ เข้านอน เล่านิทานให้ฟัง จะใช้นิ้วก้อยสัมผัสไล้ที่แก้มให้เคลิ้มหลับ คืนไหนเราไอส่งเสียงตอนดึก ท่านก็เอาน้ำให้ดื่ม มาร้องเพลงกล่อมให้นอน แม้จะเหนื่อยกาย แต่ท่านทำด้วยใจ

ทุกความต้องการของเรา ท่านจะสนองให้ด้วยความเหมาะสม เราอยากเล่นอยากทำกิจกรรมในเวลาว่างหรืออยากเล่นกีฬาอะไร ก็จะพาไปเล่น ไปหาครูสอน หาซื้ออุปกรณ์ให้ครบ พาไปรับไปส่ง รวมถึงคอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ ซึ่งบางครั้งก็ร่วมทำกิจกรรมไปพร้อมกับเรา จะไปค่ายก็ช่วยจัดกระเป๋า ช่วยตรวจสิ่งของให้ครบ

ในเรื่องการทำบุญ ตักบาตร สวดมนต์ ฟังเทศน์ ท่านก็จะพาไปวัดให้รู้จักกับพระพุทธศาสนา การทำความดีรักษาศีลห้า มีคุณธรรมจรรยา และเรื่องมารยาทที่สอนให้ไหว้คนที่อาวุโสกว่า ให้อ่อนน้อม ไม่ถกเถียง ไปลามาไหว้ อย่างเช่นก่อนลงจากรถเข้าโรงเรียนก็ยกมือไหว้พร้อมกล่าวสวัสดี ให้คำสัตย์กับท่านว่า “ตั้งใจฟังครูสอน ไม่คุยในห้องเรียน” พอขึ้นรถกลับบ้านก็ไหว้สวัสดีท่าน เป็นสิ่งที่ถ่ายทอด และสืบต่อกันมาในประเพณีวัฒนธรรมไทย

เมื่อถึงช่วงวัยรุ่น ท่านทั้งสองก็พาไปหาที่เรียนพิเศษ ไปหาพี่ ๆ ญาติ ๆ ถามถึงการเรียนต่อ ทั้งในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา เมื่อมีใครที่รู้จักเรียนจบก็จะพาไปงานรับปริญญา หาชุดให้แต่ง ให้เราเห็นถึงความสำเร็จ ไว้เป็นแรงขับทางการศึกษา พอผลสอบออกมาก็จะชื่นชม แสดงความยินดี และให้รางวัลเป็นความสำเร็จทีละก้าว

จนปัจจุบัน สิ่งต่าง ๆ ที่ท่านให้ จนเราประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ ลุล่วงสำเร็จมาได้ มีความสุข เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้รับความรู้ การศึกษา การอบรมสั่งสอน มีความเคารพ สัมมาคารวะ มีวุฒิการศึกษา มีวุฒิภาวะ และมีสติปัญญา สิ่งเหล่านี้นั้น ท่านทำเพื่อเรา การมีพ่อแม่และเป็นครอบครัวที่ครบสมบูรณ์ การได้รับการดูแลเอาใจใส่จากท่านทั้งสอง คอยหาสิ่งต่าง ๆ มากมายให้ด้วยใจ เป็นสิ่งที่มีค่าของลูกคนหนึ่ง จนเราเป็นเพียงฝ่ายได้รับ และท่านทั้งสองเองก็เป็นฝ่ายให้ ฝ่ายสนองความต้องการเรามาตลอด แล้วสิ่งที่ลูกจะให้ตอบกลับท่านได้บ้าง คือ...

เป็นลูกที่ดี ตั้งใจเรียน เป็นคนดีของสังคม สร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล ดูแลเป็นห่วงเป็นใยท่าน แบ่งเบาภาระ ทำความสะอาดบ้าน ล้างถ้วยชาม จัดของให้เป็นระเบียบ ขวนขวายหาความรู้ แลกเปลี่ยนสายสัมพันธ์ด้วยการสื่อสาร เป็นผู้พูด เป็นผู้ฟัง ให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แสดงความรักด้วย การกอดกัน ให้การ์ด มอบ ดอกมะลิในวันแม่ มอบดอกพุทธรักษาในวันพ่อ ส่งความสุขในวันปีใหม่ ให้ของขวัญ เป่าเทียนตัดเค้กในวันเกิดท่าน

ประสบการณ์ในชีวิตต่าง ๆ เพียงเท่านี้ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะใช่ความรักในรูปแบบของใครหลาย ๆ คนหรือไม่ เนื่องจากหลายคนมองความรักในแง่ของคนสองคนที่จะเป็นเนื้อคู่กัน แสดงความรักและความรู้สึกต่อกันด้วยดอกกุหลาบ การกอด การจูบ หรือแบบอื่น ๆ แต่สำหรับข้าพเจ้า นี่คือ ความรัก... ความรักที่แท้จริง

ลิ้นชักความทรงจำ

ลิ้นชักความทรงจำ

อีกครั้ง... ณ ที่นอนของพ่อ แล้วผมก็พูดว่า “ป่าป๊าครับ บิวขอโทษ” พ่อพยุงผมให้ลุกขึ้นแล้วโอบกอดด้วยรักที่อบอุ่นเหมือนเดิม

ผมชื่อบิวครับ ในบรรดาพี่น้อง ผมมักจะมีปัญหากับพ่อมากที่สุด เด็ก ๆ ผมมีโลกส่วนตัว มีอารมณ์และมีความเข้าใจเป็นของตัวเอง แต่สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ เปลี่ยนไปโดยพ่อของผม

ขณะที่อาหารกำลังนำมาวางเรียงรายมากมายอยู่บนโต๊ะกลม วันนั้นเป็นวันหยุด ครอบครัวของผมนัดรวมญาติให้มาทานข้าว พอถึงเวลาอาหารเที่ยง ทุกคน ทั้งพ่อ แม่ พี่ชาย น้องสาว และญาติ ๆ ก็มานั่งที่โต๊ะกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้า เมื่อการสนทนาของเหล่าญาติพี่น้องได้เริ่มขึ้น เสียงของช้อนส้อมของพ่อที่กวาดเอาเศษข้าวที่ติดอยู่ให้หล่นไปกองกับข้าวในจานทำให้ผมหงุดหงิดขึ้นมา เพราะพ่อจะตักกับข้าวที่มีอยู่ทั้งหมดบนโต๊ะ อย่างละนิดอย่างละหน่อยใส่จานของผม เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ทันใดนั้นใบหน้าของผมก็เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง

และวันนี้ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดออกไปว่า “ป๊าพอได้แล้ว ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย บิวไม่อยากกิน บิวโตแล้ว” เสียงคุยกันบนโต๊ะกินข้าวทั้งหมดก็เงียบลงทันที ทุกคนต่างคนต่างกินอย่างเงียบ ๆ มีเพียงเสียงของช้อนส้อมที่กระทบจาน และสายตาที่มองมาที่ผมกับพ่อ

ทันใดนั้น พ่อก็วางช้อนส้อมในมือ แล้วลุกไปบนห้องนอน เมื่อพ่อลับสายตาไป แม่ก็เข้ามาพูดกับผมว่า ทำไมพูดอย่างนั้น

“ก็บิวไม่ชอบ ไม่อยากให้ใครมาบังคับ มาตักกับข้าวที่บิวไม่อยากกิน” ผมตอบแม่
“อย่าทำอย่านี้ ไม่ดีนะ” แม่พยายามทำให้ผมเข้าใจ
“ป๊าเขารักหนู ไม่อย่างนั้นจะทำไปทำไม ถ้าป๊าไม่สนใจก็คงไม่ดูแลบิวอย่างนี้หรอก”
“ขึ้นไปขอโทษป่าป๊าซะ”

เพียงเท่านี้ เด็กอย่างผมก็เข้าใจแล้วว่า มุมมองของเรามันคนละด้านกับที่ผู้ใหญ่ อย่างพ่อและแม่ ทำให้ผมเข้าไปในห้องนอนแล้วเดินขุกเข่าเข้าไป ณ ที่นอนของพ่อแล้วผมก็พูดว่า “ป่าป๊าครับ บิวขอโทษ” พ่อพยุงผมให้ลุกขึ้นแล้วโอบกอดด้วยรักที่อบอุ่นเหมือนเดิม

หลังจากเหตุการณ์นั้น ก็มีเรื่องที่ต้องขัดใจกับพ่ออีก แต่แล้วก็กลับมาจบลงได้ที่เดิม ณ ที่นอนของพ่อ

บทประทับใจ

บทประทับใจ

ภาพยนตร์ที่แปลเป็นภาษาไทยอย่างตรงตัวว่า “วันที่โลกยังคงอยู่” สร้างความสงสัยแก่ข้าพเจ้ามากว่า ชื่อนี้จะเกี่ยวข้องอะไรกับมนุษย์ต่างดาวทำลายโลกอย่างที่โฆษณาทางโทรทัศน์ และวลีสั้น ๆ นี้ที่คล้ายกับว่าจะให้ความหมาย
ทั่ว ๆ ไปจะเป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับโลกที่กว้างใหญ่ได้อย่างไร แต่เมื่อข้าพเจ้าได้ชม ข้าพเจ้าสัมผัสถึงความทรงพลัง
ของบท และทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจถึงความหมายในชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้

ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงคุณค่าของภาษาจากบทสนทนาตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะบทสนทนาระหว่างมนุษย์ต่างดาว “คลาทู” ผู้มาเยือนโลกเพื่อเฝ้ามองให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทำร้ายโลกนี้ และพร้อมจะปกป้องชีวิตคนทั้งโลกไว้จากการทำลาย นำแสดงโดยคีนู รีฟส์ กับเฮเลน เบนสัน นักวิทยาศาสตร์หญิงที่เป็นความหวังของมนุษย์โลกให้เกิด
สันติสุขคืนมา นำแสดงโดยเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี ในตอนท้ายของเรื่อง

เมื่อเหล่ามนุษย์ต่างดาวมุ่งหมายจะรักษาโลกใบนี้แต่เนื่องด้วยมนุษย์ปฏิบัติสิ่งที่เลวร้ายนานาต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้จำต้องทำลายล้างมนุษย์โลก ลาทูได้พูดกับเฮเลนว่า

“ถ้าโลกตาย พวกคุณ (มนุษย์โลก) ก็ตาย แต่ถ้าพวกคุณตาย โลกจะรอด”
“มีดวงดาวแค่หยิบมือหนึ่งในจักรวาลที่สามารถรองรับสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนได้ เรา(มนุษย์ต่างดาว)เคยเฝ้ามอง
เราเคยเฝ้ารอ เราหวังว่าพวกคุณจะเปลี่ยนมัน เราจะแก้ไขสิ่งที่พวกคุณได้ทำลายลงไป และให้โลกได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”

ในขณะที่มนุษย์โลกจะถึงกาลวิบัติ คลาทูเห็นเฮเลนที่กำลังจะตาย แต่เธอกลับเป็นห่วงลูกเลี้ยงของเธอ โดย
ไม่ห่วงชีวิตของตัวเอง สิ่งนั้นทำให้คลาทูได้ประจักษ์กับสายตา สิ่งที่คลาทูเห็นเป็นการกระทำอันเกิดจากจิตใจของเฮเลน ผู้หญิงเพียงคนเดียวก็ทำให้คลาทูตระหนักได้จึงเอ่ยคำพูดสั้น ๆ ว่า “At the precipice, we change.” หรือ “ในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด เราจะเปลี่ยน” และยอมไม่ให้มนุษย์โลกถูกทำลาย ซึ่งเหตุการณ์นี้ที่มุ่งสะท้อนมาสู่มนุษย์โลกอย่างผู้ชมได้อย่างทรงพลัง และถ้อยคำสั้น ๆ นี้ยังดังก้องอยู่ในหัวของข้าพเจ้า เป็นความทรงพลังที่เกิดขึ้นจนจบเรื่อง

บทภาพยนตร์เรื่องนี้มีอีกหลายช่วงที่มีคุณค่าทั้งอารมณ์และความหมาย ตัวอย่างเช่น เพียงถ้อยคำสร้างกำลังใจให้กับเด็กกำพร้าพ่อ ซึ่งพ่อไม่ได้จากไปไหน แต่อยู่ในตัวลูกนั่นเอง เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงแง่มุมความคิดมนุษย์ที่มีต่อตัวเองหรือคนอื่นเพียงไม่กี่คน ถึงแม้เป็นแง่มุมเล็ก ๆ แต่กลับเป็นแง่มุมที่ยิ่งใหญ่ให้กับคน
อีกมากมายหลายคน ข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่ง และครั้งใดที่ข้าพเจ้านึกถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ ข้าพเจ้าจะรู้สึกถึงถ้อยคำสนทนาในเรื่อง ที่ให้แง่คิดที่ยิ่งใหญ่กับข้าพเจ้าและเป็นมุมมองใหม่ที่มีต่อมนุษย์กับโลกใบนี้

บท “The Day The Earth Stood Still” นี่แหล่ะ ที่ข้าพเจ้าประทับใจ

ข้างหลัง(ของ)ภาพ(รัก)

ข้างหลัง(ของ)ภาพ(รัก)


ทันทีที่อ่านถึงประโยคสุดท้ายของบทประพันธ์หนึ่ง

น้ำตาที่คลออยู่ก็ร่วงหล่นลงบนหน้ากระดาษนั้น

และเสียงสะอื้นดังขึ้นภายใน จากตัวหนังสือที่สะเทือนใจ รุมให้ข้าพเจ้าเข้าใจความรักและความรู้สึกของหม่อมราชวงศ์ หญิง กีรติที่เธอพานพบมาตลอดชีวิต และเร้าให้บทประพันธ์ตราตรึงข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดี

ยิ่งมองย้อนถึงสิ่งที่ได้อ่านไป ภาพที่เกิดขึ้นเหมือนเกิดขึ้นจริง เป็นชีวิต เป็นเหตุการณ์ของคนคนหนึ่งที่ประสบมา

ประกอบกับสิ่งที่แฝงมาอย่างแยบยล คือ ปรัชญาที่ลึกซึ้ง

อย่างความรักของกีรตินั้นตีความได้อย่างหนึ่งว่า

ทุกคนอาจไม่สมหวังกับความรัก แต่ความรักเกิดขึ้นกับทุกคน

นอกจากนี้ สำนวนภาษาช่างสวยงาม และคมลึกดัง “กุหลาบ” เช่น ในวาระสุดท้ายของคุณหญิง กีรติ

ภาพมิตาเกะที่เธอวาดให้นพพรไปและถามว่า
“จำได้ไหม นพพร ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น”
ข้าพเจ้าระลึกเห็นถึงเหตุการณ์ที่เขามิตาเกะได้อย่างแจ่มกระจ่าง...
เนื่องจากภาพวาดเขามิตาเกะนั้นสะท้อนความหลังไว้
“ความรักของผมเกิดขึ้นที่นั่น” ข้าพเจ้าตอบ
“ความรักของเรา นพพร” พูดแล้วเธอหลับตา และพูดต่อไปอย่างแผ่วเบาเหลือเกิน “ความรักของเธอเกิดที่นั่น และก็ตายที่นั่น แต่ของอีกคนหนึงยังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ”
และ ประโยคที่สะกดลงความทรงจำของใครหลายคนไว้อย่างยาวนาน คือ “ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันอิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก”


และ นี่ก็ ...
คือ บทประพันธ์หนึ่งของศรีบูรพา เรื่อง “ข้างหลังภาพ”
บท แสดงถึงสำนวนภาษาที่สวยงาม และบรรยายให้เห็นลักษณะของตัวละครได้อย่างดี
ประ ทับใจข้าพเจ้าในความรักอันแสนบริสุทธ์ของกีรติและถ้อยคำที่ละเอียดละออใน
การประพันธ์
พันธ์ แห่งวรรณศิลป์ผูกร้อยเรียงให้ข้าพเจ้าลุล่วงเข้าสู่ห้วงของภาษา

เรื่อง มีความสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ครบทั้งคุณค่าทางภาษา และคุณค่าทางปัญญา
ข้าง หลังภาพ ได้แฝงปรัชญามากมาย และข้อคิด โดยเฉพาะเรื่อง ชีวิตกับความรัก
หลัง ของปกที่พิสูจน์เองแล้ว ว่า ข้างหลังภาพ นั้นมีชีวิต และเป็นชีวิตที่ตรึงตราอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า
ภาพ ทุกภาพ มีข้างหลังของภาพ

กวีนิพนธ์ - กลอนเปล่า

"เธอ"

ขาดความหวังจากเธอ
ช่างหดหู่
ทุกข์สุขไม่รู้ถึง
อารมณ์เปล่าเปลี่ยวครอบงำ
กายและใจขอเพียงเธอ

ขาดความรักจากเธอ
ช่างอ้างว้าง
มองไปรอบข้างไร้สีสัน
ฉากหลังของตัวเราคงจืดจาง
ความฝันต่างกับความจริง

ขาดสิ้นซึ่งตัวเธอ
ไม่เหลือสิ่งใด
หาสิ่งใดเติมเต็มไม่
ความคิดหมกมัวและว้าวุ่น
ขอเพียงเธอกลับมา...กลับมาเหมือนเดิม

คนเรา...ก็เป็นอย่างนี้ไง

“น้อง...น้อง” เป็นเสียงทุ้มก้องของชายคนหนึ่งดังเข้ามาสะกิดหูของกิ่ง หญิงสาวที่กำลังมองสิ่งที่อยู่รอบตัวเธออย่างใจลอย

เธอส่งสายตาหาเสียงนั้น เป็นชายในชุดลำลองสวมเสื้อคลุมแขนกุดสีกากีกำลังเดินตรงมาที่เธอพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ในมือถือตลับแป้งฝุ่นกับแปรงปัดหน้า

“เห้ย ใช้ได้... คนนี้ คนนี้แหล่ะ”
“เดี๋ยวเอาไปแต่งหน้า เอาไม่ต้องเว่อนัก...” ทั้งสองคนคุยตกลงกัน
“น้องครับ... พี่ชื่อก้องนะ ส่วนคนนี้ชื่อตา พี่อยากให้น้องมาช่วยถ่ายโฆษณากับพี่หน่อย” พี่ชายคนนั้นหันมาพูดกับกิ่ง
เธอไม่ลังเลใจที่จะไตร่ตรองถึงคำตอบ “ตกลงค่ะพี่ เอ่อ หนู...กิ่งค่ะ”
“ขอบใจ... น้องกิ่งครับ เดี๋ยวพี่จะฝากให้พี่ตาดูแลนะ” แล้วพี่ตาก็พากิ่งไปแต่งหน้าทำผม

ในความคิดของกิ่งตอนนั้น “อะไรจะโชคดีอย่างนี้ นี่ฉันจะดัง จะเข้าสู่วงการบันเทิงแล้วหรือนี่ ฮา ฮา !!ทุกสิ่งจะต้องเป็นของฉัน ชีวิตฉันจะเปลี่ยนไป ฉันจะมีทุกอย่าง เงินทอง ชื่อเสียง”

“อ่า อ่า ทุกคนพร้อม กล้อง ฉาก นักแสดง...เอ่า แอ็คชั่น” พี่ก้องสั่งทีมงานทุกคนด้วยไมค์อย่างชัดเจน

เสียงดนตรีก็ดังขึ้น ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนกับว่าได้ถูกกำหนดตายตัวไว้อยู่แล้ว ทันทีที่มีเสียงคำร้องเริ่มต้นขึ้น นักเต้นก็ออกมายืนเต้นออกท่าออกทางอย่างเข้มแข็ง ผู้คนที่แต่งชุดในแนวเดียวกันออกมาทำอิริยาบถตามตำแหน่งของตนอย่างคล่องตัว ยิ่งไปกว่านั้น แสงไฟหลากสีส่องสว่างทำให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในสถานบันเทิงชั้นดี

“กิ่งจ๋า เดี๋ยวพอพี่ก้องจะให้คิวหนู หนูก็ออกไปยืนตรงพี่ผู้ชายใส่แว่นตรงนั้นนะ ทำตัวสบายสบายล่ะ ไม่ต้องเกร็ง” พี่ตาบอกกิ่ง

เมื่อพี่ก้องให้สัญญาณ เธอก็เดินเข้าฉากทันที เธอไม่มีความรู้สึกอะไรเหมือนกับว่า มีอะไรดลใจเธออยู่
“ไฟมา” เป็นเสียงพี่ก้อง แล้วแสงไฟสีขาวนวลส่องมาที่หน้าของกิ่ง
“ตายแล้ว...ฉันเด่นมาก สงสัยเป็นบทนำ ฉันต้องได้ออกกล้องเต็มเต็มแน่... พี่เค้าเลือกได้ถูกคนแล้ว” ความคิดกิ่ง

กิ่งดูโดดเด่น ด้วยท่าทางและสีหน้าของเธอ พี่ก้องถึงกับพูดชม
“ดีมาก...ดี...ดี... อย่างนั้น... ใช้ได้... อ่า... ยิ้มเข้า...”
กิ่งยิ้ม แล้วมองกล้อง ทำตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ เธอไม่รู้สึกขัดเขิน และทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี
ทีมงานทุกคนก็เอ่ยปากชมเธอทุกคน หลังจากผ่านฉากแรกไป


“ดีมาก จะ น้องกิ่ง ฉากต่อไป น้องจะได้เข้าฉากกับพี่เบิร์ดนะ ทำเหมือนเดิม ไม่ต้องเกร็ง” พี่ตาบอกบทเธอในฉากต่อไป
ในหัวของเธอก็มีความคิดลอยขึ้นมาว่า “ว้าว... ฉันจะได้เจอพี่เบิร์ด สุดยอด... นี่แหล่ะ วันของฉัน ฉันจะก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มภาคภูมิ เพื่อนและครอบครัวต้องชื่นชมฉัน จากนี้... ฉันไม่ธรรมดาแล้ว”

กิ่งก็สามารถแสดงผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากเลิกกอง พี่เบิร์ดก็เดินเข้ามา เอ่ยปากชมเธอต่อหน้าพี่ก้องและทีมงานด้วยกัน
“ทำได้ดีมากวันนี้ ชื่ออะไร อะเรา...”
“หนูชื่อกิ่ง ค่ะ... ขอบคุณมากค่ะ พี่เบิร์ด...” ทำเอากิ่งปลื้มไปอยู่นาน

หลังจากนั้น กิ่งเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในงานแสดงต่าง ๆ มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เธอได้แสดงละคร ออกเทป แสดงคอนเสิร์ต
และถูกสัมภาษณ์ตายรายการทีวีและวิทยุ แสงสีแห่งวงการบันเทิง แทบจะเรียกได้ว่าทุกสื่อเมืองไทย มีกิ่งปรากฎอยู่จากคนธรรมดากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จในพริบตา และอยู่ดีดี เธอก็ได้เข้าฉากแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศ เธอกำลังแสดงกับดาราฮอลลีวูดชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็นลีโอนาโด้ เจนนิเฟอร์ หรือแม้กระทั่งแบร๊ด

“นี่แหล่ะ...ฉัน กิ่งคนนี้ไม่ใช่กิ่งคนเดินอีกต่อไป ฉันดัง ฉันรวย ฉันมีความสุข โลกนี้...ฉันเป็นคนกำหนด ไม่ว่าจะสื่อไหนก็ตามต้องมีฉัน...” กิ่งคิด

และแล้วภาพที่เกิดขึ้นตาหน้าเธอค่อย ๆ จางหายไป จากแสงที่สว่างกลับดับมืดลง เธอไม่เห็นอะไรเลย
“กิ่ง... กิ่ง...” เสียงแม่ของเธอดังใกล้หูเธอมาก แล้วเธอก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และรู้ในใจว่า “อีกแล้ว”
“อะไรกัน... อีกแล้วหรือนี่” กิ่งบ่นต่อหน้าแม่ของเธอ “ความฝัน...อีกแล้ว”

ในโลกของความฝัน เธอเป็นนักแสดงและศิลปินที่มีชื่อเสียง มีเงินมากมาย จนเรียกว่าทุกสิ่งบันดาลมาให้เธออยู่อย่างสุขสบาย แต่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่ากิ่งจะฝันอย่างนี้มาหลายครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอคิดทำหรือไขว่คว้าให้ฝันนั้นเกิดขึ้นจริง ช่างน่าเสียดาย... ที่ความฝันกับความจริงไม่เหมือนกัน กิ่งยังคงเป็นหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีแผนในชีวิตหรือความคิดเกี่ยวกับอนาคตของเธอ ไม่ว่าจะเรื่องการเรียนหรือการทำงาน เธอปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นกับเธอตามเข็มนาฬิกาที่หมุนไปเรื่อย ๆ

กิ่งคงไม่ต่างกับคนอื่นคนที่ปล่อยเวลาและชีวิตที่มีคุณค่าให้ดำเนินอยู่ไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมายและไร้ความพยายาม คนเรา...ก็เป็นอย่างนี้ไง แม้เพียงเราจะได้แต่ฝัน แต่ฝันก็สามารถเป็นแรงผลักดันให้เป็นความจริงได้ อย่างน้อย...เพียงคิดที่จะเดินตามความฝันอย่างไม่ท้อถอย สิ่งเหล่านั้นก็จะมากกว่า...แค่ฝัน ไม่ใช่หรือ ?